วิธีใช้
รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้ จากการศึกษานี้และข้อมูลต่างๆที่ได้จากการศึกษา
เช่น ประสิทธิภาพของเบต้ากลูแคนจากการรับประทาน
และความยาวนานของการทำงานในด้านต่างๆ จึงสามารถสรุปปริมาณการใช้ Beta-1,3 D Glucan
เป็นตารางการใช้ง่ายๆสำหรับการใช้งานกรณีต่างๆ ดังนี้
ปริมาณตามตารางในช่อง S (10 มก/กก) สำหรับรักษาสมดุลของร่างกายให้ปกติ; ปริมาณตามตารางในช่อง
L (40 มก/กก) สำหรับรักษาคุณสมบัติของกระบวนการกินของเม็ดเลือดขาว เพื่อการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง;
ส่วนปริมาณตามตารางในช่อง M (25 มก/กก)
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหลังจบกระบวนการรักษาแล้ว จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการกลับมาเกิดอีกในระยะยาว
บำรุงร่างกายหรือเสริมสร้างสมดุล Th1 ต้องการใช้สำหรับการสร้างสมดุลปกติ
(สมดุล Th1) และรักษาสมดุลนี้ให้คงอยู่ตลอดไป
เพื่อเป็นเกราะป้องกันร่างกายและสุขภาพอันมีค่าของเรา ใช้เบต้ากลูแคนในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และการบริโภคเบต้ากลูแคนนี้จะไม่ทำให้เรามีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เหมือนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทอื่นๆ แต่หากลองสังเกตดูในระยะยาวจะพบว่า
อาการเจ็บป่วยต่างๆที่เคยเกิดกับเราในแต่ละปี เช่น เป็นหวัดจะลดความถี่ลงหรือไม่ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
เป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นของเราจริงๆ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าเบต้ากลูแคนส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีมีผลให้ลดอัตราเสี่ยงในการเกิดและลุกลามของมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย
ดังในสุภาษิตที่กล่าวกันทั่วโลกว่า "กันไว้ดีกว่าแก้"
การรับประทานเพื่อบำรุงร่างกายเพียงสัปดาห์ละครั้งตามตารางในช่อง
S
(10 มก/กก) ก็เพียงพอแล้ว
เนื่องจากเบต้ากลูแคนสามารถกระตุ้นการสร้าง IL-2 ซึ่งเป็นไซโตไคน์ที่สำคัญที่แสดงถึงการมีสมดุลปกติ
สำหรับในกรณีที่มีโรคระบาด หรือมีแผลติดเชื้อ ฯลฯ
เพื่อป้องกันหรือทำให้อาการที่เป็นอยู่หายเร็วขึ้น สามารถรับประทานทุกวันในปริมาณเดิม
จนกว่าทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ แล้วก็กลับมารับประทานสัปดาห์ละครั้งเช่นเดิม
หลังจากการระบาดหรืออาการติดเชื้อหายไปก็ได้
หมายเหตุ: หากว่าผู้บริโภคต้องการคำนวณปริมาณสำหรับบริโภคเอง
ก็สามารถคำนวณอย่างง่ายๆ ได้โดยดูจากอักษร S (=10 มก/กก), M (=25 มก/กก) หรือ L (=40 มก/กก) ในกรณีต่างๆที่สนใจ เช่น ในกรณีสำหรับบำรุงร่างกายก็จะใช้ S ซึ่งเป็นปริมาณเบต้ากลูแคน 10 มก/กก (หรือ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว)
คำนวณได้โดยเอาน้ำหนักตัวของผู้บริโภค x 10 ก็จะได้ปริมาณที่รับประทานในหนึ่งครั้ง
ซึ่งจะต่อวันหรือต่อสัปดาห์ก็ดูรายละเอียดในแต่ละกรณีไป
และในแต่ละแคปซูลจะมีปริมาณเบต้ากลูแคน 500 มิลลิกรัม
หากเลือกใช้ยี่ห้อของเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังที่มีคุณภาพ
ระยะเวลาการกระตุ้นการสร้าง IL-2 จะยาวนานกว่า เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ยังพบ IL-2 อยู่ในระดับสูงถึง 70% ดังนั้นการรับประทานในปริมาณตามตารางในช่อง S จึงเพียงพอต่อการกระตุ้นให้มีสมดุลปกติอย่าง
ยังสามารถใช้กับเด็กๆหรือคนชราได้
เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กที่ไม่ค่อยแข็งแรง ใช้ปริมาณตามตารางในช่อง S โดยแกะแคปซูลออกมาเทผสมกับอาหารเหลว
เครื่องดื่ม ฯลฯ เพียงสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้ผู้ใช้มีภูมิต้านทานโรคที่ถูกต้องและแข็งแรงยิ่งขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้บริษัท Mead Johnson ได้ใช้เบต้ากลูแคน
เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กและทารก โดยผสมลงในนมผง Enfagrow รุ่น Premium 3 ที่จำหน่ายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยด้วย
เป็นการแสดงถึงความปลอดภัยในการบริโภคเบต้ากลูแคนในเด็กและทารก
และความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพด้านการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย [แต่การทานโดยละลายในน้ำหรือน้ำผลไม้ จะให้ผลที่ดีกว่าละลายในนมหรือน้ำนมถั่วเหลือง]
ดังนั้นเราทั้งหลายรวมทั้งคนในครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่ง
จึงควรมาเสริมภูมิคุ้มกันที่ดีกันเถิด สร้างเกราะคุ้มกันที่มองไม่เห็นให้แก่ร่างกาย
ด้วยค่าใช้จ่ายอันน้อยนิดต่อปี [โดยทั่วไปในกรณีนี้ 1
กระปุก ทานได้นานถึง 60 สัปดาห์ หรือ 1
ปีกับอีก 2 เดือน]
ถูกล็อคอยู่ในสมดุล Th อื่น การที่ร่างกายถูกล็อคอยู่ในสมดุลที่ไม่พึงประสงค์
จะส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น Th2 [โรคภูมิแพ้], Th17 [โรคหืด, โรคข้อเสื่อม (Rheumatoid Arthritis), โรคภูมิแพ้บางชนิด, โรคทางเดินอาหารอักเสบ (Inflammatory Bowel Disease), โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Autoimmune Gastritis), โรคสะเก็ดเงิน
(Psoriasis), โรคม่านตาอักเสบ (Uveitis), โรคพุ่มพวง (Systemic Lupus Erythematosus), โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง
(Chronic Gingivitis) และ โรค Multiple Sclerosis เป็นต้น] มีการค้นพบโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของสมดุลภูมิคุ้มกัน
[immune-mediated inflammatory disease (IMID)] เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงเวลาที่ผ่านมา
มาถึงปัจจุบันพบถึงหลายร้อยโรคแล้วครับ
การกระตุ้นให้ร่างกายเปลี่ยนจากสมดุลเหล่านั้นกลับมาเป็นสมดุลปกติ
สามารถทำให้อาการผิดปกติต่างๆที่เกิดกับร่างกายเหล่านี้
ทุเลาลงหรือกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้ ในกรณีนี้ทำโดยการรับประทานเบต้ากลูแคนในปริมาณตามตารางในช่อง
S วันละครั้งจนมีอาการทุลาลง หรือถ้าจะให้ดีก็รอจนอาการหายไป
(โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน) แล้วก็ลดการรับประทานลงเป็น 3 วันต่อครั้งในปริมาณเดิมอีกสัก
1 เดือน หากรู้สึกปกติดีก็สามารถรับประทานครั้งละสัปดาห์ตลอดไป
เพื่อรักษาให้ร่างกายอยู่ในสมดุลที่พื้นฐาน (สมดุล Th1) จะได้ไม่กลับไปสู่สมดุลเก่าที่มีปัญหา แล้วอาการเหล่านี้จะไม่กลับมารบกวนอีก
ช่วงการรับเคมีบำบัด สารเคมีที่ใช้บำบัดอาจจะส่งผลข้างเคียงต่างๆต่อร่างกาย เช่น
การมีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำ มีแผลภายในปาก ปลายมือปลายเท้าดำ ฯลฯ
อาการเหล่านี้จะแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในรอบหลังๆของการทำเคมีบำบัด
เนื่องจากผลข้างเคียงที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สภาพร่างกายแย่ลง
ให้รับประทานเบต้ากลูแคนตามปริมาณในตารางช่อง M (หรือ S) วันละครั้งตามแต่ความรุนแรงของผลข้างเคียงในช่วงรับเคมีบำบัด
เนื่องจากเบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นตัวของไขกระดูกและอวัยวะต่างๆ
จึงสามารถลดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนในสัปดาห์สุดท้ายของแต่ละรอบ
(ช่วงพักการให้เคมีบำบัด) ให้ลดเหลือปริมาณในช่อง M หรือ S ในแต่ละวัน และเมื่อจบการเคมีบำบัดแล้วก็รับประทานตามปริมาณในช่อง
M
ต่อไปเรื่อยๆทุกวัน
ช่วงรับรังสีบำบัด เบต้ากลูแคนเป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
และพบว่าสามารถช่วยผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างรังสีบำบัดได้
นอกจากนี้ยังช่วยในการฟื้นตัวของไขกระดูกและอวัยวะอื่นๆที่ถูกรังสีอีกด้วย ในช่วงรังสีบำบัดให้ใช้ปริมาณตามตารางในช่อง
L ทุกวันตลอดช่วงการรักษา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงพักก็ตาม
หลังจากการฉายรังสีสิ้นสุดแล้ว จึงรับประทานในปริมาณตามตารางในช่อง M ตลอดไป เพื่อเป็นการป้องกันในระยะยาว
ตรวจพบก้อนเนื้อ ในระหว่างที่อยู่ในช่วงรอวินิจฉัย
เช่น อีก 3-6
เดือนมาวัดขนาดใหม่ จากคุณสมบัติกระตุ้นกระบวนการกินสิ่งแปลกปลอมโดยเม็ดเลือดขาวของเบต้ากลูแคน
ซึ่งจะสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิดได้ดี แต่คุณสมบัตินี้จะลดลงค่อนข้างเร็ว คือลดลงเหลือไม่ถึง
60% หลังจากไม่ได้กินเพียง 2 วันเท่านั้น
จึงต้องกระตุ้นให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดก็คือ ใช้ปริมาณในตารางช่อง L ทุกวัน ดังนั้นเพื่อให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการกินสิ่งแปลกปลอมที่สูงอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงระหว่างการรอตรวจในรอบต่อไปนี้สามารถรับประทานในปริมาณตามตารางในช่อง M หรือ L
อาจจะช่วยให้ร่างกายของท่านตอบสนองกับก้อนเนื้อนี้ได้ดีขึ้น และอาจจะช่วยลดขนาดหรืออาจจะทำให้หายไปได้
อย่างไรก็ตามผลที่ได้อาจจะต่างกันตามการตอบสนองของเซลล์มะเร็งแต่ละชนิด (ซึ่งพบแล้วร่วม
3,000 ชนิด)
หมายเหตุ: 1. ในกรณีที่ต้องรับประทานเบต้ากลูแคนจำนวนมาก สามารถแบ่งรับประทานได้ 2-3
ครั้งในแต่ละวันตามแต่จะสะดวก แต่ควรจะอยู่ในช่วงท้องว่าง
เพื่อการดูดซึมของเบต้ากลูแคนอย่างเต็มที่
ดังนั้นจึงควรรับประทานในตอนเช้าทันทีที่ตื่นนอน หรือหลังจากมื้ออาหารไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง และหลังจากรับประทานเบต้ากลูแคนไปแล้ว ควรรอไม่ต่ำกว่า 30
นาทีก่อนที่จะรับประทานอาหาร
2.
การรับประทานเบต้ากลูแคน ต้องรับประทานร่วมกับวิตามินซีเสมอในอัตราส่วน
เบต้ากลูแคน:วิตามินซี = 1 :
0.5-1 หมายความว่า ใน 1000 มก ของเบต้ากลูแคนที่บริโภค
ควรบริโภค วิตามินซีพร้อมกันไปด้วยจำนวน 500 - 1000 มก
ขอแนะนำวิตามินจากองค์เภสัชกรรมไทย (GPO)
ซึ่งมีราคาถูกและมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากยี่ห้ออื่นๆ จากการศึกษาของสถาบัน Linus
Pauling สหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงในการศึกษาด้านวิตามินซี
สรุปว่า วิตามินซีในรูปแบบไหนๆ ก็ให้ผลประโยชน์ที่ไม่แตกต่างกัน
3. ในกรณีของการใช้เบต้ากลูแคนกับเด็ก ผู้สูงอายุ
หรือผู้ที่มีปัญหากับการกลืนแคปซูล ให้เทเบต้ากลูแคนในแคปซูลออกมา
และผสมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้เพื่อให้ดื่มง่าย
แต่ไม่ควรผสมกับนมหรือน้ำนมถั่วเหลือง
เพราะอาจจะไปขัดขวางการดูดซึมของเบต้ากลูแคนได้ ในกรณีเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย
ก็ให้แบ่งเบต้ากลูแคนออกเป็นส่วนตามที่บ่งชี้ในตาราง (หรือตามการคำนวณ) เก็บส่วนที่เหลือในกล่องสะอาดและเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นจนกว่าจะใช้ต่อไป
|